วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555










7 เรื่องดูแลผิวที่คิดว่ารู้แล้ว แต่รู้มาผิด ๆ

          ตั้งแต่การขัดผิวไปจนถึงเรื่องง่าย ๆ อย่างการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ สาวรู้มากทั้งหลายอาจรู้มาผิด ๆ ก็ได้นะ! ลองมาดูกันว่าคุณเข้าข่ายข้อไหนบ้าง แล้วก็รีบเอาทางออกในการดูแลความงามที่ถูกต้องจากเราไปปรับปรุงตัวเสียใหม่ - - ด่วน!
  1. พยายามขัดลอกผิวที่เป็นสิว

          สิวไม่ใช่ปัญหาเรื่องสุขอนามัย แต่เป็นเรื่องของฮอร์โมน เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดผิวมากเกินไปจึงไม่สามารถกำจัดสิวได้ แต่อาจเป็นสาเหตุให้ผิวผลิตน้ำมันส่วนเกินมากขึ้น อันสามารถทำให้สิวยิ่งปะทุหนักขึ้นไปอีกก็ได้ ดังนั้น แทนที่จะพยายามขัดลอกผิวที่เป็นสิวได้ง่ายของคุณ หันมาทำความสะอาดมันอย่างอ่อนโยนด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดความสกปรก โดยไม่ทำให้ผิวระคายเคือง และถ้าคุณก็ยังรู้สึกอยากจะใช้สครับอยู่ดี ก็อย่าใช้มันมากกว่าสัปดาห์ละครั้ง และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดขัดแบบกลม ๆ ที่ไม่หยาบหรือกระด้าง เพราะเม็ดขัดที่ค่อนข้างหยาบสามารถทำให้ผิวระคายเคืองจนถึงจุดที่ทำให้มันเริ่มผลิตน้ำมันส่วนเกินมากขึ้นไปอีกได้

  2. ทาครีมกันแดดเพียงวันละครั้ง และคิดเองว่าพอแล้ว

          ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของผู้หญิงในเรื่องการปกป้องแสงแดดก็คือ การไว้ใจครีมกันแดดที่ระบุบนฉลากว่า "ปกป้องตลอดทั้งวัน" เพราะความจริงก็คือ ไม่มีครีมกันแดดใดที่คงทนได้นานเกินกว่า 4 ชั่วโมง คุณกำลังหลอกตัวเองถ้าคุณคิดว่าสามารถทาครีมกันแดดเพียงครั้งเดียวแล้วอยู่ได้ตลอดวัน การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำยิ่งสำคัญมากขึ้นด้วย ถ้าคุณใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินเอ กรดเอเอชเอ หรือบีเอชเอ หรือไปลอกหน้าด้วยสารเคมี เพราะทั้งหมดนี้สามารถทำให้ผิวไวต่อรังสียูวีมากขึ้น ทางออกไปใช่เพียงแต่ละเป็นการใช้ครีมกันแดดบ่อยขึ้น แต่ต้องทาให้มากขึ้นด้วย เพราะครีมกันแดดที่ระบุว่ามี SPF30 แต่เมื่อทาเป็นชั้นบาง ๆ มันจะให้การปกป้องแก่คุณเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของตัวเลขที่ระบุไว้เท่านั้น

  3. หลงเชื่อในส่วนผสมสุดวิเศษจนเกินไป

          คนเรามักจะอยากลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพราะพวกเขาคิดเอาเองโดยอัตโนมัติว่ามันจะดีกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังใช้อยู่ แต่จงระวังที่จะไม่ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากจนเกินไป และถ้าคุณอยากลองอะไรใหม่ ๆ ก็ต้องให้เวลาผิวของคุณได้มีปฏิกิริยากับมันเสียก่อนที่จะตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ผลหรือไม่ นั่นหมายความถึงการสังเกตผิวของคุณ ใส่ใจความรู้สึกของผิว รวมถึงดูว่าสภาพอากาศในที่ซึ่งคุณอาศัยอยู่ (ไม่ว่าอากาศจะชื้นหรือแห้ง) มีผลอย่างไรต่อผิวของคุณ อย่าใช้เงินจำนวนมากไปกับผลิตภัณฑ์ที่พวกคุณไม่ต้องการ เพราะมีความคิดผิด ๆ ว่าผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งจะช่วยจัดการกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกาลเวลาได้ ราวกับใช้เวทมนตร์ หรือพูดอีกอย่างก็คือระมัดระวังให้ดีก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมอะไรใหม่ ๆ

  4. ไม่อ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดพอ

          การอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ บนฉลากผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าคุณมีผิวมันหรือมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวหรือมีอาการแพ้ได้ง่าย และมันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่จะมองหาสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในผลิตภัณฑ์แต่ละอย่าง เช่น น้ำมันทีทรี และน้ำมันจากถั่ว ซึ่งอาจมาจากธรรมชาติ แต่ก็ยังสามารถอุดตันรูขุมขนคุณได้อยู่ดี ลองเปลี่ยนมามองหามอยส์เจอไรเซอร์ครีมกันแดด และรองพื้นที่มีคำว่า "ปราศจากน้ำมัน (Oil-Fiee)" หรือ "ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comedogenic)" แทน ถ้าคุณไม่แน่ใจในประเภทผิวและผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ ลองปรึกษากับแพทย์ดู

  5. ละเลยผิวตั้งแต่ช่วงคอลงมา

          ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแขนขาที่มีผิวหยาบกร้านราวกับผิวจระเข้นั้นไม่ชวนมอง แต่นั่นเป็นเหตุผลที่มากกว่าเรื่องความสวยงามในการเอาใจใส่ดูแลเรือนร่างของคุณ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เพราะผิวคือปราการที่ออกแบบเพื่อป้องกันเชื้อโรค เมื่อผิวแห้งเกินไป และเกิดอาการคัน การเกาก็อาจทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดการติดเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการให้ความชุ่มชื้นที่เพียงพอ เมื่ออาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ทาครีมลงบนผิวที่ยังชื้น ๆ เพื่อตรึงเอาความชุ่มชื้นไว้ในผิวเป็นประจำทุกวัน และคุณต้องจริงจังกับการดูแลผิวกายพอ ๆ กับที่ดูแลผิวหน้า นั่นหมายความถึงการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน การตรวจดูไฝในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย การทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน และการขัดลอกผิวเป็นประจำ

  6. แกะสิว

          มันเป็นความลับเล็ก ๆ ของแทบจะทุกคน นั่นก็คือการไม่สามารถห้ามใจที่จะไม่คุ้ยแคะแกะเกาสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้าได้ ถึงแม้นี่จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการดูแลผิวก็ว่าได้ มันเป็นนิสัยที่แก้ได้ค่อนข้างยาก แต่คุณต้องรู้ให้ได้ว่าเวลาไหนและที่ไหนซึ่งคุณมักจะชอบแกะเกาผิวแล้วแก้ไขให้ได้ นั่นอาจหมายถึงการโยนกระจกขยายทิ้งไป หรือเอาหลอดไฟแรงเทียนต่ำ ๆ มาติดในห้องน้ำ เพื่อที่จะได้ไม่เห็นรอยสิวที่เย้ายวนใจให้แกะ หรือบางทีคุณอาจแค่ต้องการเตือนตัวเองว่า การคุ้ยแคะแกะเกาผิวแม้แต่นิดเดียว คุณก็อาจทำให้เกิดรอยแผลที่จะอยู่บนใบหน้าไปอย่างน้อยก็อีกสองสัปดาห์ (หรือเกิดแผลเป็นไปตลอดกาล) ซึ่งเมื่อเทียบกับการปล่อยสิวไว้ โดยไม่แตะต้อง มันก็จะจางหายไปในราวหนึ่งสัปดาห์เท่านั่นเอง

  7. คิดไปเองว่า...ยิ่งมากยิ่งดี
          "ยิ่งมากยิ่งดี" อาจใช้ได้กับของอย่างเช่น ครีมกันแดดหรือการกินผัก แต่ในเรื่องการดูแลผิวแล้ว มันเป็นเรื่องจริงว่า "ยิ่งน้อยยิ่งดี" มากกว่า อย่างเช่นผู้หญิงที่ไปหาแพทย์เนื่องมาจากรอยดำบนใบหน้า แล้วแพทย์ให้ครีมไปทารอยดำเหล่านั้นวันละหนึ่งครั้ง แต่เธอกลับลงเอยด้วยการเกิดรอยแดงและผิวลอก เนื่องจากทายาที่ได้รับไปวันละหลายครั้ง เพราะคิดว่ามันได้ผลดียิ่งกว่า แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าก็คือ ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นระบุบนฉลากว่า "วันละครั้ง" คุณจะมีปัญหาแน่ถ้าใช้มากกว่านั้น หรืออาจทำให้ผิวแย่ลงไปด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองมากขึ้น

          และที่เป็นจริงเช่นกันก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์หลายอย่างมากไปในครั้งเดียวเพียงเพราะเรตินเอและกรดไฮดร็อกซี่ให้ผลที่ดีต่อผิว ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรเริ่มชโลมมันลงบนผิววันละหลาย ๆ ครั้ง หรือแม้แต่ทุกวัน!

  7 เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว (เพราะฉะนั้นก็ทำต่อไป)

         1. การดื่มน้ำเยอะ ๆ การดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนช์ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วทุกวัน จะทำให้ผิวชุ่มชื้นและสุขภาพดี

         2. การหยุดใช้สบู่กับผิวหน้า เคลนเซอร์ไม่เหมือนกับสบู่ส่วนใหญ่ เพราะมันออกแบบมาไม่ให้กำจัดน้ำมันออกจากผิวจนสิ้นเชิง

         3. การล้างหน้าทั้งเช้าและเย็น การล้างหน้าในตอนเช้าเป็นการเริ่มต้นวันอย่างสดใส และในตอนกลางคืนก็เป็นการกำจัด สิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่จะอุดตันรูขุมขน น้ำมัน และเครื่องสำอาง

         4. การเริ่มใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ผิวทุกประเภทล้วนได้ผลดีจากการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทั้งสิ้น

         5. การใช้อายครีม มันไม่เคยสายเกินไปที่จะต่อสู้กับสัญญาณความร่วงโรยของผิวบอบบางรอบดวงตา

         6. การเริ่มชะลอกระบวนการความร่วงโรยของผิว มันมีหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อลดริ้วรอย อย่างเช่น การทาครีมกันแดดและลงทุนใช้ครีมแอนตี้เอจจิ้งดี ๆ

         7. การใช้เมคอัพที่มีสารกันแดด ถึงแม้เมคอัพที่มีสารกันแดดจะไม่ได้ให้การปกป้องอย่างเต็มที่ แต่รองพื้น แป้ง และลิปสติกที่มีสารกันแดดก็ช่วยเพิ่มการปกป้องให้คุณได้



การดูแลผิวหน้าช่วงหน้าร้อน








ทำอย่างไรให้ผิวสวยจากภายใน ไม่ต้องอาศัยการแต่งหน้า


 ถ้าให้เลือกระหว่างผิวสวยเป็นธรรมชาติกับผิวสวยเพราะผ่านการปรุงแต่งจากเครื่องสำอาง สาว ๆ จะเลือกอย่างไหนกันคะ ท่าทางคำตอบน่าจะเป็นตัวเลือกแรกกันแน่ ๆ เลยใช่ไหมเอ่ย เพราะหากมีผิวสวยแล้ว จะแต่งหน้าอย่างไรก็ดูดี (ไม่แต่งหน้าก็ยังน่าดูเลยนะ ^^) และที่สำคัญสุขภาพผิวที่ดียังบ่งบอกถึงสุขภาพกายที่ดีได้ด้วย เพราะดูแลสุขภาพกายดีผิวพรรรณจึงดูดีจากภายในออกมานั่นเอง ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีการดูแลผิวทั้งผิวหน้าและผิวกายให้สวยสุขภาพดีจากภายในกันดีกว่าค่ะ

       รับประทานผักและผลไม้ให้เยอะ หลีกเลี่ยงฟาสต์ฟู้ด

          ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผิวสวยได้จากภายใน ทั้งเปล่งประกายและดูสดชื่น คือการได้รับอาหารที่มีสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อผิวพรรณ ซึ่งสารเหล่านั้นพบมากในผักผลไม้นั่นเอง และหลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ดเสียให้ไกล นอกจากไขมันสูงแล้ว ส่วนใหญ่มักมีเกลือเยอะ เมื่อกินเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้บวมฉุได้

      
ดื่มน้ำเปล่าและน้ำผลไม้

          น้ำเปล่าช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิวหนังได้จากภายใน ผิวจึงไม่แห้งกร้านและดูอิ่มเอิบนุ่มนวลดี แถมยังช่วยขับของเสียในร่างกายออกมาทางเหงื่อหรือปัสสาวะอีกด้วย ส่วนน้ำผลไม้ก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินอันเป็นประโยชน์ต่อผิวมาก ๆ เช่นกัน

      
ออกกำลังกาย

          การออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นเต้นแอโรบิก เล่นโยคะ วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปั่นจักรยาน ก็ล้วนแต่ดีต่อผิวทั้งนั้นค่ะ มันทำให้ผิวกระชับไม่หย่อนคล้อยง่าย แถมการออกกำลังกายก็เรียกเหงื่อได้ดี ช่วยกระตุ้นกระบวนการขับของเสียจากผิวหนังออกมาทางเหงื่อได้ดีนักเชียว นอกจากนี้ยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตทำให้เลือดสูบฉีดผิวดูเปล่งปลั่งดีอีกด้วยค่ะ

      
งดสูบบุหรี่ - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีแต่จะทำร้ายทั้งสุขภาพกายไปพร้อม ๆ กับสุขภาพผิว พฤติกรรมทั้งคู่กระตุ้นกระบวนการเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเกิดริ้วรอย ความแข็งแรงของผิวต่ำ ทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ง่ายและหายยากกว่าคนทั่ว ๆ ไป

      
ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

          รังสียูวีในแสงแดดสามารถทำร้ายผิวคุณได้อย่างเหลือเชื่อ นอกจากทำให้ผิวคล้ำและกร้านแล้ว มันยังสะสมกลายเป็นมะเร็งผิวหนังในยามที่คุณแก่ตัวลงได้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมทาครีมกันแดดให้ติดเป็นนิสัย รวมทั้งในหน้าหนาวที่ผิวแห้งง่ายก็ต้องทาโลชั่นสูตรเข้มข้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย

      
กินวิตามินเสริม

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้ตัวว่ารับประทานอาหารได้ไม่ครบถ้วนตามที่ผิวต้องการ อันได้แก่ วิตามินซี กรดโอเมก้า 3 และ กรดไลโนเลอิก การรับประทานวิตามินเสริมก็เป็นทางออกที่่ดีที่จะสร้างผิวสวยได้จากภายในค่ะ (แต่ถ้ากินจากอาหารจริง ๆ ก็จะดีกว่านะจ๊ะ ^^)

      
อบไอน้ำ

          การอบไอน้ำหรือซาวน่า ไม่ว่าจะผิวหน้าหรือว่าผิวกาย นับเป็นการทำความสะอาดผิวที่ดีมาก ๆ เลยเชียวค่ะ ความร้อนจากไอน้ำจะทำให้รูขุมขนของคุณเปิด จึงง่ายต่อการชะล้าง ขับดันเอาสิ่งสกปรกออกมาพร้อม ๆ กับเหงื่อที่ผิวคุณขับออกมานั่นเอง และจะให้ดีลองนวดตัวด้วยน้ำผึ้งผสมกับเอสเซนเชียลออยล์หลังการอบไอน้ำ ผิวก็จะนุ่มนวลและหอมกรุ่นเลยเชียวล่ะ

การดูแลผิวหน้า






รวมหลากวิธีดูแลผิวหน้าสำหรับสภาพผิวแบบต่าง ๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เพราะผู้หญิงทุกคนล้วนมีสภาพผิวที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวเป็นสิวง่าย ผิวมัน หรือผิวผสม อีกทั้งยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่ผลิตออกมาแล้วสามารถใช้ดูแลครอบคลุมทุกสภาพผิวได้ในตัวเดียว เราทุกคนจึงจำเป็นต้องสรรหาวิธีการดูแลบำรุงผิวหน้าที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละสภาพผิว และวันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้รวบรวมวิธีการดูแลผิวหน้าสำหรับสภาพผิวแบบต่าง ๆ มาฝากกันค่ะ

     1. ผิวเป็นสิวง่าย ดูแลด้วยการสครับและมาส์ก
          สาเหตุที่ทำให้ผิวของคุณเป็นสิวง่ายเนื่องมาจากการผลิตน้ำมันของรูขุมขนที่มากเกินพอดี ทำให้ไปรวมกับคราบสกปรกหรือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วจากผิวหน้าได้ง่าย จึงเกิดเป็นสิวขึ้น หากสามารถกำจัดน้ำมันที่ทำให้เกิดความมันส่วนเกินนี้ไปได้ สิวของคุณก็จะค่อย ๆ ลดลง โดยสามารถจัดการกับสาเหตุของสิวได้ด้วยการสครับผิวหน้าด้วยสครับที่อ่อนโยนเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และมาส์กหน้าด้วยมาส์กชนิดโคลนเพื่อดูดซับความมันส่วนเกินออกและปรับสมดุลให้กับผิวหน้า

     2. ผิวมัน ดูแลด้วย วอเตอร์-เบส มอยส์เจอไรเซอร์

          ผิวมันก็ต้องการการบำรุงเช่นกัน โดยให้เน้นเติมความชุ่มชื้นในปริมาณที่พอดีเพื่อปรับสมดุลของผิวโดยไม่เพิ่มความมันให้ผิวหน้า ซึ่งสามารถพบคุณสมบัตินี้ได้ในมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดวอเตอร์-เบส (water-based moisturizer) ที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบได้ดี เพิ่มความชุ่มชื้นได้โดยไม่ทิ้งความเหนอะหนะและความมันไว้บนผิวหน้า

     3. ผิวผสม ทำความสะอาดด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน
          ผิวผสมมักมีความมันเป็นพิเศษที่ช่วงทีโซน (หน้าผาก-จมูก-คาง) แต่มีส่วนอื่น ๆ ที่ค่อนข้างแห้ง ควรทำความสะอาดด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ซึ่งคอยดูแลส่วนผิวที่แห้งไม่ให้เสียความชุ่มชื้น และยังคอยปรับสมดุลให้กับผิวส่วนที่มันไปพร้อม ๆ กันด้วย

     4. ผิวแห้ง บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเติมและกักเก็บความชุ่มชื้น

          ผิวของคุณแห้ง เพราะสูญเสียความสามารถในการผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติไปหรือผลิตได้น้อย คุณจึงควรดูแลผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และในขณะเดียวกันก็บำรุงความแข็งแรงให้ผิวซึ่งจะทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีและยาวนานขึ้น นอกจากนี้หากเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีนวัตกรรมสามารถปลดปล่อยความชุ่มชื้นให้ผิวได้ต่อเนื่องและยาวนานก็จะเหมาะกับผิวแห้งที่สุด

     5. เซรั่มเนื้องบางเบา สำหรับบำรุงทุกสภาพผิว

          เซรั่มเนื้อบางเบาเหมาะสำหรับใช้บำรุงทุกสภาพผิว โดยเลือกใช้สูตรที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณ (ลดเลือนจุดต่างดำ ริ้วรอย ฯลฯ) มันสามารถบำรุงผิวได้ล้ำลึกและเข้มข้นกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ทั่ว ๆ ไป ในขณะเดียวกันด้วยเนื้อที่บางเบาก็ทำให้มันซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายไม่ทิ้งความเหนอะหนะ ส่วนใครที่ต้องการความชุ่มชื้นมากขึ้นเป็นพิเศษก็สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ครีมบำรุงซ้ำอีกครั้งได้

     6. สครับผิวหน้าสัปดาห์ละครั้ง สำหรับทุกสภาพผิว

          การสครับผิวหน้าสัปดาห์ละครั้งจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความหมองคล้ำออกไป ทำให้ผิวหน้าของคุณดูเปล่งปลั่งสดใสได้ตลอดเวลา และสำหรับผิวมันสามารถสครับบ่อยขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งได้ค่ะ

     7. ไม่ว่ามีสภาพผิวเช่นไร ต้องอ่อนโยนกับผิวรอบดวงตาเสมอ

          ทุก ๆ ครั้งที่มีการสัมผัสผิวหน้าไม่ว่าจะเป็นการทาครีมหรือแต่งหน้า ต้องให้ความอ่อนโยนเป็นพิเศษกับผิวรอบดวงตาเสมอ เพราะผิวส่วนนี้บอบบางมาก ๆ หากไม่ระมัดระวังก็จะเกิดริ้วรอยได้ง่าย การทาครีมให้ใช้ปลายนิ้วนางตบเบา ๆ ให้ครีมซึมลงไป ส่วนการเมคอัพรวมทั้งการล้างเครื่องสำอางก็ต้องไม่ทา ปาด หรือ ถู ให้หนักมือ


          ผิวแบบไหนก็สวยสุขภาพดีได้ ถ้ารู้จักการดูแลที่ถูกต้อง แล้วอย่าลืมกลับไปดูแลผิวของคุณกันด้วยนะคะ